Blue Valentine — เราทุกคนล้วนตามหาความสัมพันธ์ที่ไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะมันจะเป็นความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดน้อยที่สุด

BLUE VALENTINE — บูล วาเลนไทน์

112 MIN. — 2010

Derek Cianfrance — ดีเร็ค ซีแอนฟรานซ์

 

 

***** มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Blue Valentine *****

วันวาเลนไทน์ปีนี้ ถือว่าเป็นปีที่ตัดสินใจอยู่สักพักใหญ่เหมือนกัน ว่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องไหนดีถึงจะเขียนให้ตรงกับธีมวันแห่งความรักเช่นนี้ แต่สุดท้ายแล้วก็ตัดสินใจเลือกภาพยนตร์ที่ถือเป็นของต้องห้ามของตัวเองอย่าง Blue Valentine (2010) มาเขียนถึง โดยความหมายของการที่มันเป็นของต้องห้ามนี้ ก็คือการที่มันเป็นภาพยนตร์ที่จะไม่ยอมกลับไปดูอีกรอบหนึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะว่าประเด็นที่เป็นสาเหตุซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ดีน (ไรอัน กอสลิ่ง) และ ซินดี้ (มิเชล วิลเลียมส์) คู่รักในเรื่องนี้ต้องพังทลายลงไป เป็นสิ่งที่กลัวที่สุดในความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัว โดยบทความนี้ก็เขียนขึ้นจากการอ่านเรื่องย่อของภาพยนตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่มีการเล่าเรื่องแบบไม่เป็นเส้นตรง คล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง 500 Days of Summer (2009) ของผู้กำกับ มาร์ค เว็บบ์ ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่แฟนภาพยนตร์โรแมนติกชาวไทย แต่ทว่าโทนโดยรวมเรื่องราวในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ ซัมเมอร์ของฉัน 500 วัน ไม่ลืมเธอ จะแทรกไปด้วยจังหวะของความตลกบ้างในบางช่วง แต่แทบจะทั้งหมดของ Blue Valentine จะเต็มไปด้วยความดราม่าที่ตึงเครียด สลับกับความโรแมนติกบ้างในบางจังหวะ คล้ายกับมันเป็นเรื่องราวของ ซัมเมอร์ ในเวอร์ชั่นที่เติบโตเป็นมนุษย์ที่แม้จะยังอยู่วัยก่อนสามสิบ แต่ก็ได้พ่ายแพ้ให้กับโลกใบนี้ไปเสียแล้ว

โดยเราจะได้เห็นการเติบโตและร่วงโรยในความสัมพันธ์ระหว่าง ดีน และ ซินดี้ ไปพร้อม ๆ กัน นับตั้งแต่พวกเขาเจอกันครั้งแรกที่ เพนซิลเวเนีย ต่อเนื่องไปจนถึงตอนที่ ดีน รู้ว่า ซินดี้ ตั้งท้องกับ บ็อบบี้ ซึ่งเป็นแฟนเก่าของเธอในช่วงมหาวิทยาลัย แต่ทั้งสองก็ยังจะติดสินใจแต่งงงานสร้างครอบครัวด้วยกัน โดยยังเก็บลูกในท้องของ ซินดี้ ไว้ และตั้งชื่อลูกสาวคนนี้ว่า แฟรงกี้

จนเมื่อเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มระหองระแหงกัน เนื่องจาก ดีน ไม่ได้มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน เป็นเพียงแค่ช่างทาสีบ้าน แตกต่างจาก ซินดี้ ที่เป็นพยาบาลในคลีนิก ประกอบกับการที่ ดีน ทั้งดื่มหนักและสูบบุหรี่จัด ในขณะเดียวกัน ซินดี้ ก็ลืมล็อคประตูบ้านจนทำให้ เมแกน สุนัขที่เป็นเพื่อนรักของ แฟรงกี้ ต้องเสียชีวิตอยู่ข้างถนนด้วยเหตุผลบางอย่าง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มร่วงโรยลงไป จนทำให้ไม่ว่า ดีน พยายามจะซ่อมแซมมันมากเพียงใดก็ตาม แต่ในมุมมองของ ซินดี้ แล้ว ความสัมพันธ์นี้เป็นความสัมพันธ์ที่มาถึงทางตันแล้ว แม้ว่าตัวเธอเองยังเหลือความรู้สึกดี ๆ ให้กับ ดีน อยู่บ้างก็ตาม

ตัวภาพยนตร์นำเสนอความซับซ้อนของความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งเรื่องของการที่แต่ละคนมีพื้นฐานในชีวิตแตกต่างกัน เติบโตมาในครอบครัวที่แตกต่างกัน จนกลายมาเป็นปมเมื่อเติบโตขึ้นมา หรือการที่ทั้งสองมีความคาดหวังในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน ซึ่งเป็นอะไรที่เกิดขึ้นในทุกความสัมพันธ์ ไม่ใช่เฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง ดีน และ ซินดี้ เท่านั้น

และยังเต็มไปด้วยฉากที่น่าจดจำ ทั้งจดจำในแง่ของความโรแมนติก อย่างเช่นในตอนที่ ดีน เล่นกีต้าร์และร้องเพลง You Always Hurts the One You Love ของ เดอะ มิลส์ บราเธอส์ ให้ ซีนดี้ เต้นตามตรงหน้าร้านค้าแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็ฉากที่ ดีน เปิดเพลง You & Me ของ เพนนี แอนด์ เดอะ ควอเทอร์ส ให้ ซินดี้ ได้ฟัง ก่อนที่ทั้งสองจะร่วมรักกัน และจดจำในแง่ของความเศร้า อย่างเช่นในฉากที่ ซินดี้ ตัดสินใจขอหย่ากับ ดีน และโยนแหวนแต่งงานทิ้งออกนอกรถ ก่อนที่ ดีน จะจอดรถเพื่อลงไปตามหาแหวนวงนั้น และ ซินดี้ ก็ตามลงมาช่วยหา หรือฉากจบที่ ดีน เดินออกจากบ้านไปโดยมี แฟรงกี้ พยายามรั้งตัวพ่อของเธอเอาไว้ ก็เป็นฉากที่เจ็บปวดในแบบที่ภาพยนตร์เรื่องอื่นทำตามได้ยากมากเลยทีเดียว

การแสดงของ มิเชล วิลเลียมส์ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ พาเธอไปได้ไกลถึงการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนั้น แต่โชคร้ายที่เธอพ่ายแพ้ให้กับการแสดงที่ลงทุนทั้งร่างกายและจิตใจจนสุดขีดของ นาตาลี พอร์ทแมน ในภาพยนตร์ Black Swan (2010) ของผู้กำกับ ดาร์เรน อโรนอฟสกี้

แต่อย่างไรก็ตาม หากใครก็ตามที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็คงจะได้อะไรไปติดอยู่ในความทรงจำไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสัมพันธ์อันซับซ้อน ไม่ก็เพลงประกอบภาพยนตร์อันแสนจะติดตราตรึงใจ หรือบางทีอาจจะเป็นสเน่ห์ของ ไรอัน กอสลิ่ง ที่ทำให้คุณตกหลุมรักก็ได้

Comments

comments