A MAN CALLED OTTO — มนุษย์ลุง…ชื่ออ๊อตโต้
126 MIN. — 2022
Marc Forster — มาร์ค ฟอร์สเตอร์
หลังจากการผจญภัยสุดอบอุ่นหัวใจในภาพยนตร์ Christopher Robin (2018) หรือ คริสโตเฟอร์ โรบิน ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาเอฟเฟคพิเศษยอดเยี่ยม ผู้กำกับ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ก็ได้เว้นว่างจากการทำภาพยนตร์ไปราวสี่ปี ก่อนที่จะกลับมาอีกอีกครั้งกับภาพยนตร์คอเมดี้-ดราม่า A Man Called Otto หรือชื่อภาษาไทยที่ว่า มนุษย์ลุง…ชื่ออ๊อตโต้ ที่ได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง ทอม แฮงส์ ที่จะมาเปลี่ยนบรรยากาศมาทำงานในภาพยนตร์ที่หนักหน่วงน้อยลงบ้าง หลังจากที่งานแสดงส่วนใหญ่ของนักแสดงวัย 66 ปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เต็มไปด้วยภาพยนตร์แนวดราม่าเข้มข้นทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น The Post (2017), Greyhound (2018) และ Elvis (2022)
โดยเนื้อเรื่องโดยย่อของภาพยนตร์ มนุษย์ลุง…ชื่ออ๊อตโต้ จะเกี่ยวกับชายแก่วัยเกษียณเจ้าระเบียบ แถมยังอารมณ์บูดคนหนึ่งที่มีชื่อว่า อ๊อตโต้ (ทอม แฮงส์) ที่เตรียมตัวจะจบชีวิตของตัวเองตาม ซอนย่า (ราเชล เคลเลอร์) ภรรยาของเขาที่จากเพิ่งจะจากไปได้ไม่นาน แต่ทุกอย่างกลับผิดแผน เมื่อมีเพื่อนบ้านจอมซุ่มซ่ามอย่าง มาริซอล (มาเรียน่า เทรบิโน่) ย้ายเข้ามาอยู่ตรงข้ามบ้านของเขา ก่อนที่เพื่อนบ้านน่ารำคาญจะแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นมิตรภาพที่เปลี่ยนชีวิตชายผู้เบื่อโลกคนนี้ไปตลอดกาล
เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ดูใหม่นัก หรืออาจจะคุ้นตาบางคน เนื่องจากมันดัดแปลงมาจากภาพยนตร์สัญชาติสวีเดน เรื่อง A Man Called Ove (2015) หรือ En man som heter Ove ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ เฟรดริก แบ็คแมน แต่ว่าภาพยนตร์ก็ทำได้ดีในการสร้างอารมณ์ร่วมทั้งช่วงตลก ที่การแสดงของ แฮงส์ ชวนให้นึกถึงตัวละคร เทอร์เรนซ์ เฟล็ทเชอร์ ของ เจ. เค. ซิมม่อนส์ จากภาพยนตร์ Whiplash (2014) หรือ ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ ในเรื่องท่าทาง นํ้าเสียงและนิสัยอยู่พอสมควร แต่ อ๊อตโต้ คนนี้ก็ไม่ได้มีความโหดร้ายบางอย่างที่ เฟล็ทเชอร์ มีแต่อย่างใด ในทางกลับกัน แท้จริงแล้ว อ๊อตโต้ เป็นชายที่มีหัวจิตหัวใจอบอุ่น แต่ทว่าถูกปกปิดไว้ภายใต้ความเศร้าในปัจจุบันและความโกรธในอดีตของเขามากกว่า
ส่วนของประเด็นดราม่าก็มักจะถูกเล่าด้วยฉากย้อนอดีต ที่ได้ลูกชายของ ทอม แฮงส์ อย่าง ทรูแมน แฮงส์ มารับบท อ๊อตโต้ ในวัยเยาว์ โดยฉากเหล่านี้มีความสำคัญและสัมพันธ์กับตัวตนของ อ๊อตโต้ ในปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง ต้องชื่นชมว่าเป็นแนวทางการเล่าเรื่องที่น่าสนใจและง่ายต่อการที่ผู้ชมจะรับรู้เรื่องราวได้อย่างไม่ขาดตอน ส่วน แฮงส์ ผู้พ่อ ก็ถ่ายทอดความรู้สึกของการโหยหาอดีตได้เป็นอย่างดี
อีกสิ่งที่หนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมา ก็คือ การถ่ายทอดภาพทั้งในพื้นที่ปิดอย่างบ้าน และบรรยากาศของพื้นที่เปิด อย่าง สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสวยงาม องค์ประกอบทางด้านแสงก็ผ่านการคิดมาอย่างละเอียดรอบคอบ แตกต่างจากภาพยนตร์แนวนี้เรื่องอื่น โดยทั่วไปที่จะเน้นความเรียบง่ายของงานภาพ แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำสีออกมาได้อย่างมีความหลากหลาย โดยต้องยกความดีความชอบให้กับผู้กำกับภาพ มัทเธียส โคนิกสไวเซอร์ ที่เคยร่วมงานกับ ฟอร์สเตอร์ มาแล้วใน คริสโตเฟอร์ โรบิน
ส่วนข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อาจจะเป็นจังหวะการเล่าในบางช่วงบางตอนที่ดูจะเร่งรัดเกินไปสักนิด แต่ก็ไม่ได้แย่จนทำให้ไม่ได้เกิดความรู้สึกร่วมกับตัวละครแต่อย่างใด
โดยรวมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์คอเมดี้-ดราม่าที่ทำออกมาได้มาตรฐานสูง ทั้งในเรื่องของการแสดง, การเล่าเรื่อง และการถ่ายทอดผ่านทางภาพ และยิ่งจะถูกใจขึ้นไปอีก หากผู้ชมเป็นคนที่แพ้เรื่องราวของคนแก่ที่ยึดติดอยู่กับอดีตแบบ อ๊อตโต้ ซึ่งหากเป็นแบบนั้นแล้ว คุณอาจจะเสียนํ้าตาให้กับเรื่องราวของชายแก่จอมบูดคนนี้ตั้งแต่สิบห้านาทีแรก และอีกหลายครั้งหลังจากนั้นอย่างแน่นอน