THE FABELMANS — เดอะ เฟเบิลแมนส์
151 MIN. — 2022
Steven Spielberg — สตีเวน สปีลเบิร์ก
***** มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง The Fabelmans หรือ เดอะ เฟเบิลแมนส์ *****
หากสังเกตกระแสการสร้างภาพยนตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ของผู้กำกับหลาย ๆ คน อาจจะอนุมานได้ว่า เมื่อคุณเติบโตในวงการจนขึ้นมาเป็นผู้กำกับชื่อดังแล้ว สร้างการภาพยนตร์ที่เป็นจดหมายรักไปสู่วงการภาพยนตร์หรือเฉพาะฮอลลีวูดก็ตามแต่ ก็กลายมาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ควรทำ ทั้ง เควนติน ทาราติโน่ กับภาพยนตร์ Once Upon a Time in Hollywood (2019) และ ดาเมี่ยน ชาเซลล์ กับภาพยนตร์ Babylon (2022) ที่เข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกันกับภาพยนตร์ The Fabelmans (2022) ของผู้กำกับผู้ครองฉายาพ่อมดแห่งฮอลลีวูด สตีเวน สปีลเบิร์ก
แต่ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องที่เข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกันนี้ กลับมีอารมณ์โดยร่วมของเรื่องที่แตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ บาบิลอน ทำเสนอความสกปรกโสมมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันในภาพใหญ่ ด้วยการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วฉับไว แต่ เดอะ เฟเบิลแมนส์ ได้นำเสนอเรื่องราวของเด็กชายที่ต้องเติบโตมาในครอบครัวที่แหลกสลาย โดยมีภาพยนตร์เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ความพังทลายนี้ได้เกิดขึ้น และในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งเขายึดเหนี่ยวเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องแหลกสลายไปมากกว่านี้
เด็กชายคนดังกล่าวมีชื่อว่า แซมมี่ เฟเบิลแมน (กาเบรียล ลาเบลล์) ที่เติบโตมาในครอบครัวชาวยิวพร้อมกับน้องสาวอีกสามคน โดยพ่อของเขา เบิร์ต (พอล ดาโน่) เป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ผู้เก่งกาจ ส่วนแม่ของเขา มิตซี่ (มิเชล วิลเลียมส์) สาวผู้มีใจรักในศิลปะ แต่ทว่าต้องทิ้งความฝันในการเป็นนักดนตรีเพื่อมาดูแลลูก ๆ ของตัวเอง ทั้งสามตัวละครหลักนี้เป็นตัวแทนของครอบครัวผู้กำกับภาพยนตร์เอง คือ สตีเวน ผู้เป็นลูก, อาร์โนลด์ ผู้เป็นพ่อ และ ลีอ่าห์ ผู้เป็นแม่
ภาพยนตร์เปิดตัวด้วยฉากที่ทั้งสามคนที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ไปรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Show on Earth (1952) หรือ ละครสัตว์บันลือโลก ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นการชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกของ แซมมี่ อีกด้วย โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากหนึ่งที่รถไฟสองขบวนชนกัน ซึ่งกลายมาเป็นฉากที่ติดอยู่ในหัวของ แซมมี่ ที่เป็นเพียงเด็กน้อยที่คงจะไม่เข้าเรียนชั้นประถมเสียด้วยซํ้า โดยไม่แน่ชัดนักว่าเขาจดจำมันเพราะว่าเขาชอบมันหรือว่าเขากลัวมันกันแน่ แต่สุดท้ายแล้ว มิตซี่ ผู้เป็นแม่เห็นว่าการที่จะทำให้ แซมมี่ เลิกหมกมุ่นกับเหตุการณ์นี้ คือ การที่เข้าต้องได้เห็นมันเกิดขึ้นซํ้า ๆ ได้ทุกครั้งที่เขาอยากที่จะเห็นมัน
ซึ่งการที่จะทำอย่างนั้นได้ ก็เกิดขึ้นจากการที่ต้องให้ตัวของ แซมมี่ ถ่ายทำการชนกันของรถไฟของเล่นด้วยกล้องวิดีโอตัวจิ๋ว จนสุดท้ายแล้วก็ได้ค้นพบว่า การที่ แซมมี่ ได้ดูมันซํ้า ๆ ไม่ได้ทำให้เขาเลิกที่จะนึกถึงมัน แต่เป็นการที่ตัวของเขาเป็นคนที่ทำให้รถไฟพุ่งเข้าชนกันด้วยตัวเอง เมื่อเขาควบคุมการเกิดขึ้นของมันได้แล้ว เขาจึงเลิกที่จะนึกถึงมัน เหมือนผู้กำกับภาพยนตร์สักคนหนึ่งที่คิดถึงการกำกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์อยู่ในหัวตลอดเวลา และความคิดนั้นจะหายไปก็ต่อเมื่อเขาได้ลงมือสร้างฉากนั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง
เหตุการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ตัวของ แซมมี่ และ มิตซี่ มีอะไรที่คล้ายกันมากกว่าที่เขาจะเหมือนกับ เบิร์ต ผู้เป็นพ่อ ที่มองเห็นความชอบในการทำภาพยนตร์ของเขาเป็นเพียงแค่งานอดิเรกเท่านั้น ซึ่งร่องรอยของความแตกต่างเล็ก ๆ นี้จะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อ แซมมี่ เริ่มเติบโตขึ้น เขาเริ่มมีปากเสียงกับพ่อเรื่องนี้รุนแรงขึ้น จนถึงขั้นมีปากเสียงบนโต๊ะกินข้าวต่อหน้าแฟนสาวของเขาที่มาที่บ้าน
โดยสำหรับตัวของ สปีลเบิร์ก แล้ว ภาพยนตร์คงจะเป็นทั้งพรที่มาพร้อมกับจากพระเจ้า เพราะว่า ภาพยนตร์สอนให้เขารู้จักที่จะควบคุมความกลัว ภาพยนตร์ทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ ที่มีเชื้อสายยิวอย่างเข้าโดดเด่นขึ้นมาในสังคมที่เขาถูกเหยียดหยามได้ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ภาพยนตร์ก็ทำให้เขาได้พบเห็นสิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด คือ การที่ มิตซี่ แม้ผู้รู้ใจของเขาแอบไปมีสัมพันธ์กับเพื่อนสนิทที่สุดของพ่ออย่าง เบนนี่ และภาพยนตร์ก็ทำให้เขาเชื่อว่าเขาจะควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ แต่แท้ที่จริงแล้วเขากลับควบคุมอะไรไม่ได้เลย ทั้งการที่ครอบครัวต้องพังทลาย, การที่แฟนสาวของเขาบอกเลิกเขา และการที่เขาไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตในช่วงมหาวิทยาลัย
แต่ถึงแม้มันจะฉีกกระชากครอบครัวและตัวของเขาเองอย่างไรก็แล้ว แต่ตัวของเขาเองก็ไม่อาจจะปฏิเสธมันได้ เห็นได้จากการที่เขายอมรับเอากล้องที่ลุง เบนนี่ เพื่อนสนิทของพ่อซื้อให้ก่อนที่จะจากกัน แม้ว่าจะปฏิเสธไปนับครั้งไม่ถ้วน และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามหลีกหนีจากมันมากเพียงใด เพียงแค่เขาได้ยินชื่อของอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ เขาก็พร้อมที่จะลุกขึ้นไปทำมันอีกครั้งจนได้
ซึ่งความยอดเยี่ยมบของการเล่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากขาดการแสดงอันยอดเยี่ยมของทีมนักแสดง ทั้ง กาเบรียล ลาเบลล์ และ พอล ดาโน่ ที่แสดงบทบาทออกมาได้ตามมาตรฐาน จั๊ดด์ เฮิร์สช์ ผู้รับบทคุณลุง บอริส ที่แม้จะมีบทบาทเพียงเล็กน้อย แต่ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ชมได้มองเห็นสิ่งที่สร้างตัวตนของ แซมมี่ ขึ้นมา และที่ขาดไปไม่ได้เลยกับ มิเชล วิลเลียมส์ ที่เก็บรายละเอียดของตัวละครที่มีความซับซ้อนทางด้านอารมณ์อย่าง มิตซี่ ได้อย่างครบถ้วน จนมีความเป็นไปได้สูงมากว่า เธอจะคว้ารางวัลออสการ์จากการแสดงในครั้งนี้ได้สักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้เธอถูกเสนอชื่อเข้าชิงมาแล้วถึงสี่ครั้ง แต่ก็พลาดรางวัลไปทุกปี
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังถูกเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนี้ อีกถึง 5 สาขา ได้แก่ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก, สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของ จอห์น วิลเลียมส์, สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ของ จั๊ดด์ เฮิร์สช์ , สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และสาขาการออกแบบงานสร้างยอดเยี่ยม
สุดท้ายแล้วขอฝากข้อสังเกตที่น่าสนใจว่าชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ประกอบด้วยคำว่า Fabel (การวิจารณ์บทละคร) คล้ายกับเป็นการเล่นคำกับคำว่า Fable (เทพนิยาย) เหมือนจะเป็นการสื่อว่า เรื่องราวในชีวิตของตัวพ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สปีลเบิร์ก ก็เป็นดั่งเทพนิยายที่เขาต้องพบเจอกับความยากลำบาก เพื่อที่จะได้พบกับฉากจบที่สวยงามที่พระเจ้าส่งมาให้กับเขา