Air — แรงบันดาลใจเบื้องหลังหนึ่งในตำนานรองเท้า ที่ขับเคลื่อนด้วยการแสดงของ แมตต์ เดมอน

Air — แผนล่าลายเซ็นยอดตำนาน

111 MIN. — 2023

Ben Affleck — เบน แอฟเฟล็ก

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งขึ้นมาให้สนุก โดยมีฉากทั้งหมดของเรื่องเป็นฉากของการพูดคุยกันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก โดยเฉพาะเมื่อตัวภาพยนตร์ต้องการที่จะบอกเราเรื่องราวของประเด็นที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง หรืออาจจะอยู่ห่างไกลจากตัวของผู้ชมที่อยู่นอกสหรัฐอเมริกาอยู่สักหน่อย แต่ Air (2023) หรือ แผนล่าลายเซ็นยอดตำนาน ก็เดินตามรอยเท้าความยอดเยี่ยมของรุ่นพี่อย่าง Moneyball (2011) หรือ เกมล้มยักษ์ ในแบบที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยทีเดียว

โดย แผนล่าลายเซ็นยอดตำนาน เป็นเกี่ยวข้องกับความพยายามที่จะดิ้นรนในตลาดของอุตสาหกรรมรองเท้าบาสเกตบอลของแบรนด์ไนกี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการบาสเกตบอลอย่างเช่นทุกวันนี้ โดยพวกและเธอต้องแข่งขันกับแบรนด์รองเท้าใหญ่ในตลาดบาสเกตบอลอย่าง อดิดาสและคอนเวิร์ส ที่จ้องจะดึงตัวนักบาสเกตบอลหน้าใหม่ที่จะเข้ามาเล่นในลีกเป็นปีแรกให้สวมรองเท้าในนามแบรนด์ของตัวเอง และเมื่อ ซันนี วัคคาโร หนึ่งในทีมงานฝ่ายบาสเกตบอลของไนกี้ ที่รับบทโดย แมตต์ เดมอน ตัดสินใจที่จะทุ่มทุกอย่างเพื่อดึงตัวรุกกี้หน้าใหม่อย่าง ไมเคิล จอร์แดน มาสวมรองเท้าของตนเอง ทั้งหมดก็ได้กลายมาเป็นแกนกลางหลักของเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมีตัวของ ซันนี เป็นแกนหลักของเรื่องราว

สิ่งที่น่าชื่นชมจุดหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือ การที่ถึงแม้ว่ามันจะขับเคลื่อนด้วยบทพูดเป็นหลัก แต่ก็ไม่ลดละความพยายามที่จะทำให้ฉากการพูดเหล่านั้นมีความโฉบเฉี่ยวหรือมีความน่าตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง ด้วยการออกแบบการพูดคุยให้มีการเคลื่อนไหวของตัวละครที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ ร่วมไปด้วยระหว่างการพุดคุย หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของกล้องที่หมุนรอบตัวละครในฉากของการประชุม ทำให้มีความรู้สึกว่า ฉากพูดคุยกันเหล่านี้ก็มีความคล้ายกับฉากบู๊อยู่เหมือนกัน

ส่วนที่เป็นแกนกลางของเรื่องราวอย่างบทพูดก็ทำออกมาได้อย่างลื่นไหลและพอดี ไม่มากจนประมวลผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ทัน แต่ก็ไม่น้อยเกินไปจนไม่สามารถบอกเล่าบริบทของเรื่องราวได้ โดยตัวละครแต่ละตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีรูปแบบการพูดของตัวเองที่น่าจะสนใจ โดยเฉพาะ แมตต์ เดมอน และ เจสัน เบทแมน ที่บทพูดและวิธีการพูดตัวละคร ซันนี และ ร็อบ ที่พวกเขาทั้งสองคนรับบทนั้น ได้สร้างมิติเบื้องหลังของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม อีกตัวละครหนึ่งที่บทพูดช่วยผลักดันและสร้างสีสันให้กับตัวละครอย่างมาก ก็คือตัวละคร เดวิด ฟอล์ก ของ คริส เมสซีนา ที่ถูกเขียนบทพูดออกมาได้อย่างเจ็บแสบและเผ็ดร้อน

แต่ก็น่าเสียดายที่ตัวละครบางตัวที่ดูโดดเด่นจากการคาดเดาจากทั้งในตัวอย่างภาพยนตร์และจากใบปิด อย่าง ฟิล ไนท์ ที่รับบทโดยผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง เบน แอฟเฟล็ก กลับขาดสเน่ห์ไปอย่างแทบจะสิ้นเชิง ตัวละคร ฟิล ไนท์ ขาดทั้งบทพูดที่น่าสนใจในแบบเดียวตัวละครอื่น ๆ ร่วมไปถึงการแสดงออกของตัวละครที่ไม่ชัดเจน จนทำให้ตัวเขาแทบจะกลายเป็นตัวละครที่ไม่มีความน่าสนใจแม้แต่นิดเดียว ยกเว้นแต่เพียงเรื่องเดียวก็คือมุกตลกที่ทำให้ขำออกบ้างประมาณสองถึงสามครั้งตลอดภาพยนตร์ทั้งเรื่อง

โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์ดราม่ากีฬาที่ดูได้อย่างไม่ติดขัด ถึงแม้จะไม่ได้ตึงเครียดแบบรุ่นพี่ที่ไปไกลถึงเวทีออสการ์อย่าง เกมล้มยักษ์ แต่ก็มีจังหวะการเล่าเรื่องของตนเองที่ชวนให้ติดตาม โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องราวของวงการรองเท้าหรือวงการบาสเกตบอลมาก่อน ก็สามรถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างไม่ยาก แต่หากเป็นแฟนคลับของวงการใดวงการหนึ่งแล้วล่ะก็ จะช่วยเสริมอรรถรสในการรับชมเพิ่มขึ้นได้อีกเยอะมาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ขับเคลื่อนด้วยความหลงไหลบางอย่างที่ผู้ชมท่อยู่นอกวงการเหล่านี้อาจจะเข้าใจได้ยากอยู่บ้าง

Comments

comments

3 Pings & Trackbacks

  1. Pingback: cilique online

  2. Pingback: ozempic

  3. Pingback: quik 2000