Knock at the Cabin — ทางเลือกที่มาพร้อมกับหนึ่งในฉากจบที่เสียงแตกมากที่สุด

KNOCK AT THE CABIN — เสียงเคาะที่กระท่อม

100 MIN. — 2023

M. Night Shyamalan — เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน

 

 

***** มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์เรื่อง Knock at the Cabin หรือ เสียงเคาะที่กระท่อม *****

Knock at the Cabin หรือ เสียงเคาะที่กระท่อม เป็นภาพยนตร์ขนาดยาวลำดับที่สิบสามของผู้กำกับเจ้าพ่อแห่งความระทึกขวัญ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ที่ในช่วงยุคหลังมานี้ ภาพยนตร์ของเขาจะมีความผันผวนในด้านการกำกับเป็นอย่างมาก จนตามมาด้วยความคิดเห็นของทั้งจากนักจารณ์และผู้ชมที่หากไม่ชื่นชอบสุด ๆ ก็วิจารณ์ผู้กำกับเชื้อสายอินเดียนจนแทบจะเสียคนกันไปเลยทีเดียว

โดยในภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวคู่รักเกย์และลูกสาวของพวกเขาที่ออกไปพักร้อนที่กระท่อมอันโดดเดี่ยวที่ตั้งอยู่ในป่าที่สุดแสนจะห่างไกลผู้คน ก่อนที่ความสุขจากการพักร้อนในครั้งนี้ต้องพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสามต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ศรัทธาในการมาถึงของวันสิ้นโลก ที่จะมาร้องขอให้พวกเขาตัดสินใจในสิ่งที่ยากเกินกว่าจะจินตนาการเพื่อหยุดยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ซึ่งก็คือ การเลือกเสียสละคนหนึ่งคนในครอบครัวและลงมือสังหารพวกเขาหรือเธอด้วยตนเอง ไม่ใช่นั้นทุกคนในโลกจะต้องเสียชีวิตทั้งหมด เหลือไว้เพียงครอบครัวของพวกเขาและเธอเพียงแค่สามคน ที่ต้องท่องไปในโลกที่ล่มสลาย

สิ่งแรกที่น่าประทับใจของภาพยนตร์เรื่องนี้เลย คือ การกำกับโดยรวมที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถควบคุมอารมณ์ของภาพยนตร์ได้อย่างอยู่หมัดเกือบทั้งเรื่องของ เอ็ม ไนท์ เริ่มด้วยวิธีการเปิดเรื่องอย่างรวดเร็วในสิบนาทีแรก ก็สามารถทำให้ผู้ชมได้เห็นความไม่น่าไว้วางใจของแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสี่คนได้อย่างน่าสนใจ ตลอดจนยังคงความลึกลับของกลุ่มคนเหล่านี้ พร้อมทั้งกระตุ้นความสนใจไปพร้อมกับการทำให้เรื่องราวในภาพยนตร์ดำเนินต่อไปอย่างคาดเดาได้ยาก ตั้งแต่การที่คนแปลกหน้าเหล่านี้เข้าหาคนในครอบครัวด้วยความสุภาพอย่างแปลกประหลาด และจากการที่มหันตภัยต่าง ๆ ได้เผยตัวออกมาทีละอย่าง หลังจากคนแปลกหน้าเหล่านี้ได้ถูกสังหารโดยเพื่อนร่วมงานอย่างโหดเหี้ยม ประกอบกับการที่ตัวละครอย่าง เอริค (โจนาธาน กรอฟฟ์) พยายามจะบอกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกจัดฉากขึ้นมา ได้ไปจนถึงช่วงท้ายสุดของเรื่อง ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำให้ผลตอบรับของผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แต่ละคน แตกต่างกันออกไปอย่างสุดขั้ว

ต้องเกริ่นก่อนว่า เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้เชื่อมโยงเข้ากับคำสอนของคริสต์ศาสนาโดยตรง การมาเยือนของคนแปลกหน้าทั้งสี่คนนี้ก็เป็นตัวแทนของการมาเยือนของ the Four Horsemen of the Apocalypse หรือ จตุรอาชาแห่งวิวรณ์ ที่โดยปกติแล้วจะประกอบไปด้วย โรคระบาด (Pestilence), สงคราม (War), ความอดอยาก (Famine) และ ความตาย (Death) แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ตัวละครคนแปลกหน้าทั้งสี่กลับเป็นตัวแทนของคุณสมบัติสี่ประการของมนุษยชาติ ได้แก่ Malice (ความอาฆาตพยาบาท) ในตัวละครของ เรดมอนด์ (รูเพิร์ต กรินต์) ที่เป็นอดีตอาชญกรที่มีทัศนคติเหยียดเพศ, Nurture (ความเอาใจใส่) ในตัวละครของ เอเดรียน (แอ็บบี้ ควินน์) ที่เป็นพนักงานในร้านอาหาร ซึ่งในภาพยนตร์เธอยังได้ทำอาหารมื้อเช้าให้กับ เหวิน (คริสเตน กุ้ย) เด็กสาวที่เธอกล่าวว่า ทำให้เธอนึกถึงลูกชายของเธอ , Healing (การรักษา) ในตัวละครของ ซาบรินา (นิกกี้ อามูก้า-เบิร์ด) ที่เป็นอดีตพยาบาล ซึ่งมีบทบาทในการรักษา แอนดรูว์ (เบน อัลดริดจ์) หลังจากที่เขาล้มลงศีรษะกระแทกพื้นจนมีอาการกระทบกระเทือน และ Guidance (การชี้นำ) ในตัวละครของ ลีโอนาร์ด (เดฟ เบาทิสตา) ชายร่างยักษ์ที่เป็นครูและผู้ฝึกสอนในวิชากิจกรรมหลังเลิกเรียนในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง และยังผู้มีท่าทางสุภาพที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้

ซึ่งเหล่าตัวแทนของ จตุรอาชาแห่งวิวรณ์ ทั้งสี่นี้ คล้ายกับว่าจะมาแสดงให้เห็นถึงแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตของมนุษย์ให้แก่ครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นนี้ เพื่อให้พวกเขาเสียสละความรักที่แสนบริสุทธิ์ ที่พวกเขาต้องสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ผ่านทั้งการดูถูกเหยียดหยามและความรุนแรง เพื่อแลกกับการที่มนุษยชาติจะดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ครอบครัวนี้ก็ได้ทำการเสียสละลงไปจริง ๆ จากการที่ เอริค สังหารคนรักของเขาอย่าง แอนดรูว์ ด้วยปืน ตามที่ แอนดรูว์ ต้องการที่จะเห็นลูกสาวของเขาได้ใช้ชีวิตในอนาคตอย่างเช่นคนปกติทั่วไป อย่างเช่นเดียวกับในนิมิตที่เขามองเห็น

ฉากจบเช่นนี้จึงทำให้เกิดข้อถกเถียงเป็นอย่างมากว่า การกระทำของ เอริค และ แอนดรูว์ สมเหตุสมผลหรือไม่ หลังจากที่พวกเขาต่อต้านความเชื่อของทั้งสี่คนแปลกหน้ามาโดยตลอดทั้งเรื่อง โดยหากจะบอกว่าพวกเขาเปลี่ยนใจเนื่องจากเห็นแก่อนาคตของลูกสาว ก็ดูจะไม่สามารถชวนให้ผู้ชมจำนวนหนึ่งเชื่อได้มากนักว่า พวกเขาเปลี่ยนใจเพราะเธอจริง ๆ เนื่องจากบทบาทของ เหวิน แทบจะหมดไปเลยหลังจากฉากเปิดของภาพยนตร์ แม้แต่ฉากย้อนอดีตสามถึงสี่ครั้งที่ปรากฏขึ้นในเรื่อง ตัวเธอเองก็มีบทบทบาทน้อยมาก จนทำให้ผู้ชมไม่สามารถเชื่อได้เลยว่า เธอจะมีความสัมพันธ์ที่เน้นแฟ้นและมีความสำคัญกับพ่อทั้งสองคนของเธอมากขนาดนั้น

ในทางกลับกันตัว ภาพยนตร์กลับแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักชายทั้งสองคน ที่ดูจะมีนํ้าหนักมากกว่าความรักของพวกเขาทั้งสองคนที่มีให้กับ เหวิน จากทั้งการที่พวกเขาต้องผ่านการกีดกันจากทางพ่อแม่ของ แอนดรูว์ รวมไปถึงการที่ เอริค ถูกทำร้ายโดยชายแปลกหน้าในบาร์แห่งหนึ่งจนต้องรับการรักษานานหลายเดือน สิ่งเหล่านี้ที่ทั้งสองผ่านร่วมกันมา ดูจะมีนํ้าหนักมากพอที่จะทำให้เราเชื่อได้ว่า พวกเขาจะไม่ยอมเสียสละชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งเพื่อชีวิตในอนาคตของ เหวิน อย่างแน่นอน

แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นการตัดสินใจของตัวผู้กำกับอย่าง ชยามาลาน เอง ที่ทำให้บทสรุปของเรื่องราวออกมาเป็นเช่นนี้ จากที่ได้ฟังทรรศของมิตรสหายบางคนก็เห็นว่า ที่บทสรุปของเรื่องราวมันออกมาเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าตัวของ เอ็ม. ไนท์ เป็นผู้มีความศรัทธาในความเชื่อทางศาสนาเป็นอย่างสูง เขาจึงเลือกให้ฉากจบมีหน้าตาออกมาเป็นเช่นนี้ ในขณะที่ผู้ชมจำนวนมากในสังคมสมัยใหม่ที่อาจจะมีความสัมพันธ์กับศาสนาน้อยลงกว่าคนยุคก่อน ก็อาจจะมีความคิดเห็นได้ว่า คงไม่มีเหตุผลจำเป็นอะไรที่เราจะต้องเสียสละครอบครัวที่สร้างขึ้นมาจากความรักอันบริสุทธิ์ และผ่านความยากลำบากในอย่างที่คู่รักชายหญิงอื่นไม่เคยพบเจอ เพื่อความอยู่รอดของคนทั้งโลกที่ล้วนแต่เกลียดชังพวกเขาทั้งสองตลอดมา

Comments

comments