Soulmate — เธอ ฉัน รักเขา
124 MIN. — 2023
Min Young Keun — มินยงคึน
ต้องยอมรับว่าการโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจเนื้อหาสาระของมันผิดไปพอสมควร เพราะว่าทั้งตัวอย่างและใบปิดของมัน ถูกทำออกมาคล้ายกับว่าจะเป็นภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับเรื่องความรักของวัยรุ่นสามคนที่เห็นกันได้ทั่วไปในตลาดภาพยนตร์ แต่แท้จริงแล้วประเด็นของภาพยนตร์เรื่องนี้ กลายเป็นว่าเกี่ยวกับทางเลือกที่แต่ละคนต้องเลือกในการที่จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเพียงการตัดสินใจเลือกเส้นทางหน้านี้เพียงครั้งเดียว ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนหนึ่งคนไปตลอดกาลเลยก็เป็นได้
ภาพยนตร์สัญชาติเกาหลีเรื่องนี้ ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ชื่อเรื่องเดียวกันจากประเทศจีนของผู้กำกับ ดีเร็ก ซาง ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กสาวสองคนที่ใช้ชีวิตอีกสิบสี่ปีต่อมาในฐานะเพื่อนสนิท หลังจากที่พวกเธอพบกันครั้งแรกในตอนที่ทั้งสองมีอายุได้สิบสามปี โดยในระหว่างช่วงเวลาสิบสี่ปีนั้น ได้เกิดเหตุการณ์มากมายที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตของทั้งสอง ให้ทั้งแยกห่างออกจากกันไป หรือบางครั้งก็ขยับใกล้เข้าหากันมากขึ้น
ทางเลือกที่ปรากฏอยู่ในเรื่องก็เป็นทางเลือกที่ผู้คนทั่วไปก็สามารถพบเจอได้ ยกตัวอย่างเช่น การเลือกสายการเรียนในช่วงมัธยมปลาย, การเลือกเส้นทางชีวิตหลังจบจากชั้นมัธยมว่า ว่าจะเรียนต่อยังมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน, ย้านไปเรียนยังมหาวิทยาลับในเมืองใหญ่ หรือตัดสินใจเดินทางเข้าสู่ตลาดแรงงานทันที ไม่ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ยากยิ่งกว่านั้น อย่างเช่นตัวเลือกที่ว่า การที่เราจะตัดสินใจแต่งงานกับหนึ่งคนเป็นทางเลือกที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่หากคนที่ผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มองย้อนกลับไปแล้ว ก็อาจจะทำให้รู้สึกอาลัยอาวรณ์ อยากย้อนกลับไปเลือกเส้นทางให้กับชีวิตของตัวเองดูใหม่อีกสักครั้ง ซึ่งภาพยนตร์ถ่ายทอดผลลัพธ์ของทางเลือกต่าง ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ความยอดเยี่ยมของประเด็นการเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนนี้ก็อาจจะมีผลมาจากการเล่าเรื่องในช่วงครึ่งแรกของภาพยนตร์ ที่เป็นช่วงเวลาในวัยรุ่นของทั้งสองซึ่งถูกทำออกมาได้อย่างไม่ค่อยจะดีนัก เริ่มต้นจากการปูพื้นฐานเบื้องหลังของตัวละครที่ค่อนข้างเบาบาง ทั้งจากการตัดสินใจของตัวละครที่ออกมาดูไม่สมเหตุสมผลในหลายครั้ง ทำให้เมื่อเราเปรียบเทียบกันระหว่างช่วงต้นเรื่องและช่วงท้ายเรื่องแล้ว ก็จะเห็นความแตกต่างได้ออกมาอย่างชัดเจน ว่าครึ่งหลังของเรื่องผลักดันประเด็นต่าง ๆ ได้ดีกว่ามาก มาจากทั้งการตัดสินใจของตัวละครที่สมเหตุสมผลมากขึ้น และผลลัพธ์ของการตัดสินใจที่คาดเดาแทบจะไม่ได้เลย แตกต่างจากช่วงครึ่งแรกของภาพยนตร์ที่มีลีลาตามสูตรดั้งเดิมอยู่พอสมควร
รวมไปอีกเรื่องหนึ่งที่ทำออกมาได้ไม่ดีนัก คือวิธีการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ที่ตัดสลับกันไปมาระหว่างหลายช่วงเวลา แต่กลับไม่ได้ให้ระยะเวลาให้ผู้ชมปรับตัวและทำความเข้าใจว่า ช่วงนั้นของภาพยนตร์อยู่ในช่วงเวลาของอดีตหรือช่วงเวลาในปัจจุบันกันแน่ ทำให้ความยาวกว่าสองชั่วโมงของภาพยนตร์เรื่องนี้ สูญเสียไปให้กับความพยายามที่จะเพิ่มปริมาณของเรื่องราว แทนที่จะเป็นการเพิ่มคุณภาพแต่ละประเด็นให้สูงขึ้นกว่าเดิม
แต่หากมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกผลักดันด้วยแรงจูงใจทางอารมณ์ของตัวละคร มากกว่าการผลักดันด้วยเหตุผลแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้เป็นอย่างดี ในการที่จะพาผู้ชมเดินทางย้อนกลับไปยังอดีตที่หอมหวานของตัวเองด้วยความอาวรณ์ และจินตนาการถึงปัจจุบันและอนาคตที่สวยงามกว่าที่สิ่งที่ตนเองได้เคยเลือกไปแล้ว